หลังจากที่ Johannes Gutenberg ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์สมัยใหม่ขึ้นเมื่อ 500 ปีก่อน ซึ่งทำให้หนังสือกลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปหาซื้อได้ก็ยังไม่มีสิ่งประดิษฐ์ใดในโลก ที่สามารถสร้างอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลให้กับประชาชนทั่วไปได้อีกเลย จวบจนกระทั่งมีกูเกิล (Google) ในปัจจุบัน การที่ความสามารถของกูเกิลทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ในเวลาที่รวดเร็วเป็นวินาที ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง คนหลายร้อยล้านคนทั่วโลก ที่ใช้มันในชีวิตประจำวัน คงไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างไรโดยปราศจากมัน กูเกิลคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร David A. Vise นักหนังสือพิมพ์ ผู้สื่อข่าวสายธุรกิจประจำ Washington Post และนักเขียนรางวัลพูลิตเซอร์ปี 2533 มีคำตอบในหนังสือชื่อ The Google Story หนังสือขนาด 326 หน้า 26 บท ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2548 เล่มนี้พูดถึงด้วยว่ากูเกิลทำกำไรได้อย่างไร มีวัฒนธรรมองค์กรอย่างไร และมีโครงการอะไรในอนาคต
กูเกิลถือกำเนิด ขึ้นจากนักศึกษาระดับปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยสแตนด์ฟอร์ด 2 คน ชื่อ เซอร์เกย์ บริน (Sergey Brin) และ ลาร์รี เพจ (Larry Page) บรินเกิดในมอสโกในปี 2516 ย่าของเขาเป็นชาวรัสเซีย เรียนจบทางด้านจุลชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยชิคาโก แต่เธอกลับเชื่อในระบอบคอมมิวนิสต์ จึงหวนกลับไปที่มอสโก โดยหวังจะช่วยสหภาพโซเวียตสร้างชาติในปี 2464 ปู่ของเขาเป็นศาสตราจารย์ทางด้านคณิตศาสตร์ทำงานอยู่ในมอสโก ภายหลังพ่อของเขาหนีออกมาจากรัสเซีย และสมัครเข้าเป็นอาจารย์ทางด้านคณิตศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยแมริแลนด์ ส่วนแม่ของเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ที่ NASA บรินเรียนเก่งมากตั้งแต่ยังเล็ก เขาสามารถเรียนระดับมหาวิทยาลัยได้ในขณะที่เรียนอยู่โรงเรียนมัธยม และจบการศึกษาระดับปริญญาตรีเกียรตินิยมในสาขาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ในขณะที่มีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เขาเข้าเรียนที่สแตนด์ฟอร์ด จากทุน National Science Foundation พ่อของเขาจึงหวังว่าเขาจะจบการศึกษาระดับปริญญาเอก และเป็นศาสตราจารย์เหมือนอย่างตัวเอง นอกจากจะชอบทางด้านวิชาการแล้ว บรินยังเป็นคนขี้เล่น และชอบกิจกรรมและกีฬาต่างๆ เช่น กายกรรม เล่นเรือ ยิมนาสติก รวมทั้งยังเข้าร่วมโครงการที่มีความหลากหลายด้วย เช่น การสืบค้นการละเมิดลิขสิทธิ์อัตโนมัติ และการจัดอันดับภาพยนตร์
ส่วน พ่อของเพจซึ่งเสียชีวิตในขณะที่เขาเรียนมหาวิทยาลัยเทอม 2 จากโรคปอดอักเสบเป็นคนแรกๆ ที่จบสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนในปี 2503 และจบปริญญาเอกในสาขาเดียวกันในอีก 5 ปีต่อมา แม่ของเขาจบระดับปริญญาโท สาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และเป็นที่ปรึกษาทางด้านการรวบรวมฐานข้อมูล (database) แม่ของเขาก็หวังให้เขาเป็นศาสตราจารย์เหมือนอย่างพ่อ เพจเล่าว่าเขามีคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในปี 2521 เนื่องจากมันมีราคาแพงมาก จากนั้นมาครอบครัวของเขา จึงต้องอยู่อย่างอัตคัด เขาชอบคอมพิวเตอร์มาก และสามารถใช้มันทำการบ้านได้ตั้งแต่ชั้นประถม รวมทั้งยังสามารถประกอบเครื่องพิมพ์ ด้วยเลโก้ได้ตั้งแต่เรียนมัธยม เขาเรียนต่อทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และสำเร็จวิชาบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนในปี 2538
หลังจาก ที่เพจและบรินพบกันครั้งแรกในฤดูร้อนปี 2538 ทั้งสองก็กลายเป็นคู่หูกันทันที ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเขาทั้งสองมีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกัน นั่นคือ 1)คุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยังเล็ก 2)อาศัยอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย 3)มีพ่อเป็นศาสตราจารย์และมีแม่ที่ทำงานทางด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี แม้ว่าในเวลานั้นบรินจะมีอายุน้อยกว่าเพจ และเพื่อนคนอื่นๆ ที่เรียนปริญญาเอกด้วยกัน แต่เขาก็มาอยู่ที่สแตนด์ฟอร์ดได้ 2 ปีแล้ว และสามารถสอบผ่านวิชาพื้นฐาน ของระดับปริญญาเอกทั้ง 10 วิชาได้ในการสอบครั้งแรกด้วย ทั้งสองมักทำงานและอยู่ร่วมกันเสมอ เมื่อเพจย้ายไปอยู่ชั้น 3 ในตึกใหม่ของมหาวิทยาลัย ซึ่งสร้างขึ้นด้วยเงินบริจาคของบิลล์ เกตส์ในเดือนมกราคมปี 2539 บรินซึ่งถูกจัดให้อยู่ที่ตึกอื่นก็มาป้วนเปี้ยนอยู่กับเพจเป็นประจำ
ใน ช่วงเวลานั้นทั้งสองให้ความสนใจกับระบบการค้นหาข้อมูล แต่ระบบการค้นหาข้อมูลในโลก ที่มีอยู่ไม่สามารถทำงานได้ดีนัก แม้แต่โปรแกรมของเจอร์รี่ หยาง และเดวิด เฟโล ที่เรียกว่า Yahoo ที่ใช้วิธีจ้างทีมบรรณาธิการเลือกเว็บไซต์ตามลำดับอักษร มาเรียงกันก็เป็นระบบที่ไม่ดีเพราะการค้นหาข้อมูลจากระบบนี้ เป็นไปด้วยความยากลำบาก และไม่สามารถก้าวทันกับปริมาณเว็บที่มีเพิ่มขึ้นทุกวันได้ ส่วนระบบการค้นหาข้อมูลของ AltaVista นั้นแม้ว่าจะให้ผลเร็วกว่าและดีกว่าระบบอื่นๆ แต่ระบบนี้กลับปิดบังมิให้สามารถค้นหาข้อมูลที่เชื่อมต่อกับข้อมูลอื่นๆ ที่ปรากฏอยู่บนเว็บ เพจและบรินคิดว่าระบบการค้นหาข้อมูลที่ดี ควรที่จะมีข้อมูลทั้งหมดปรากฏอยู่ โดยไม่ต้องเชื่อมต่อไปยังเว็บอื่นๆ ในปี 2539 ทั้งสองจึงเริ่มถ่ายโอนข้อมูลทั้งหมด มาสู่คอมพิวเตอร์ของตนเอง เพจตั้งทฤษฎีว่าเว็บที่มีคนเข้ามาดูมากกว่าแสดงว่าเป็นเว็บที่มีความนิยม และสำคัญมากกว่าจึงควรอยู่ในอันดับต้นๆ ของการค้นหา เขาเรียกระบบการให้อันดับการเชื่อมโยงว่า PageRank ตอนต้นปี 2540 ทั้งสองจึงพัฒนาระบบค้นหาข้อมูลใหม่ และตั้งชื่อว่า BackRub โครงการนี้สร้างความเข้าใจในระบบการค้นหาข้อมูลมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้การค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ได้รับการจัดอันดับอย่างตรงประเด็นด้วย เพื่อให้จดจำง่าย และดึงดูดใจมากขึ้น ในตอนปลายปีเดียวกันนั้นทั้งสอง จึงตั้งชื่อระบบค้นหาข้อมูลใหม่นี้ว่ากูเกิล หลังจากนั้นนักศึกษา และฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยสแตนด์ฟอร์ด ต่างก็นิยมใช้กูเกิล จนทำให้ทั้งสอง ต้องการคอมพิวเตอร์จำนวนมากขึ้นเพื่อเก็บข้อมูล
ใน เดือนมีนาคมปี 2541 เพจและบรินเกือบขายลิขสิทธิ์ระบบการค้นหาข้อมูลนี้ให้กับ AltaVista ในราคา 1 ล้านดอลลาร์ แต่บริษัทแม่ของ AltaVista กลับไม่ยินดีซื้อเพราะพวกเขาไม่อยากพึ่งบริษัทอื่น แม้ว่าทั้งสองจะตื่นเต้น กับระบบการค้นหาข้อมูลของตนเอง ที่ทำให้ผู้ค้นหาข้อมูลได้ข้อมูลที่ตรงประเด็นอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่มีบริษัทใดเห็นโอกาสจากระบบนี้ แม้แต่ Yahoo ซึ่งต้องการระบบในการค้นหาข้อมูลที่ดีกว่าที่มีอยู่ก็ตาม เดวิด เฟโล ผู้ร่วมก่อตั้ง Yahoo ยังแนะนำให้ทั้งสองเปิดบริษัทเพื่อพิสูจน์ว่า ระบบของพวกเขามีศักยภาพในการค้นหาข้อมูลได้ดีที่สุด และพวกเขาควรออกแบบธุรกิจที่เหมาะสม กับระบบที่พวกเขาคิดค้นขึ้น หลังจากที่พวกเขาถูกปฏิเสธ จากหลายบริษัท พวกเขาจึงหันกลับมาให้ความสนใจกับการพัฒนาระบบ เพื่อใช้กันภายในมหาวิทยาลัยสแตนด์ฟอร์ดเท่านั้น
หลังจากที่เพจและ บรินพยายามพัฒนาระบบค้นหาข้อมูลต่อไปจนกระทั่งเงินหมด ในเดือนสิงหาคมปี 2541 ทั้งสองจึงไปพบกับแอนดี้ เบคโทลไชม์ ผู้ซึ่งชื่นชอบที่จะลงทุนให้กับบริษัทเปิดใหม่ทางด้านเทคโนโลยี แม้ว่าเบคโทลไชม์ จะยังคงสงสัยว่าระบบนี้จะทำเงินได้อย่างไร แต่เขาก็รู้สึกสนใจในระบบค้นหาข้อมูลรวมทั้งพึงพอใจ กับวิธีการคิดของทั้งสองจึงยินดีที่จะลงทุนให้ 100,000 ดอลลาร์โดยมิได้ล่วงรู้เลยว่าทั้งสองยังไม่ได้จดทะเบียนบริษัท หลังจากรับเช็คใบนี้ 2 สัปดาห์ Google.Inc ก็ถือกำเนิดขึ้น ทั้งสองลาออกจากมหาวิทยาลัยในฤดูใบไม้ร่วงปี 2541 และย้ายเข้าไปเช่าบ้านอยู่ที่ Menlo Park โดยเสียค่าเช่า 1,700 ดอลลาร์ และจ้าง Craig Silverstein เพื่อนที่เรียนปริญญาเอกด้วยกันเป็นพนักงานคนแรกของบริษัท บริษัทกูเกิลถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 7 กันยายน 2541
หลังจากนั้นห้าเดือน บริษัทก็ใหญ่เกินกว่าขนาดของบ้านเช่า พวกเขาจึงต้องย้ายไปอยู่ที่ University Avenue ใน Palo Alto เพจและบรินยังคงไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ธุรกิจของพวกเขาทำเงิน เมื่อต้องจ้างพนักงานเพิ่ม ทั้งสองจึงต้องใช้เหตุผลต่างๆ นานาเพื่อชักจูงให้คนอื่นมาทำงานด้วย เช่น ให้หุ้นให้น้ำและขนมขบเคี้ยวฟรี และทำให้ผู้สมัครเห็นว่าคนอื่นๆ จะชื่นชมระบบค้นหาข้อมูลนี้ เมื่อผู้ใช้ระบบค้นหาข้อมูลเริ่มไม่ได้รับความพึงพอใจจากระบบเก่าๆ ที่มีอยู่ พวกเขาก็หันมาใช้กูเกิลเพิ่มขึ้นจนทำให้นิตยสารพีซี ยกย่องให้กูเกิลติดหนึ่งในร้อยของเว็บที่มีคนใช้มากที่สุด ส่งผลให้บริษัทเป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมมากขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาแม้แต่บาทเดียว
หลัง จากใช้เงินจากผู้ร่วมทุนซื้อคอมพิวเตอร์เพิ่มจนหมด ทั้งสองจึงพยายามขายระบบการค้นหาข้อมูลนี้ให้กับบริษัทอื่นๆ แต่กลับไม่มีใครสนใจ แม้ว่าทั้งสองไม่ต้องการสูญเสียการควบคุมบริษัทไป แต่ในที่สุดก็ต้องพึ่งนักลงทุนภายนอกอีกครั้ง พวกเขาไปติดต่อกับจอห์น โดเออร์ นักลงทุนที่เคยสนับสนุน Compaq, Sun, American Online และ Amazon.com และไมเคิล มอริทซ์ แม้ว่านักลงทุนทั้งคู่จะยังไม่ทราบว่าทั้งสองมีแผนทางธุรกิจอย่างไร แต่ก็เชื่อว่าระบบที่ทั้งสองพัฒนาขึ้นน่าจะมีความสำคัญในอนาคต พวกเขาจึงยินดีลงทุนให้คนละ 12.5 ล้านดอลลาร์ โดยยังยินดีให้เพจและบรินควบคุมบริษัทอยู่ โดยที่ทั้งสองต้องสัญญาว่า จะจ้างผู้บริหารที่มีประสบการณ์มาช่วยเปลี่ยนบริษัทของพวกเขาให้กลายเป็น ธุรกิจที่ทำเงินได้
วิธีการหารายได้ที่เพจและบรินตั้งใจจะทำ ก็คือขายระบบการค้นหาข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงนี้ให้กับองค์กร แม้ว่าในปี 2542 กูเกิลจะมีผู้เข้ามาใช้บริการถึงวันละ 7 ล้านครั้ง แต่รายได้ของพวกเขากลับน้อยมาก อย่างไรก็ดี ในที่สุดทั้งสองก็สามารถหาช่องทางในการโฆษณาได้ โดยที่ผู้ใช้บริการค้นหาข้อมูลไม่รู้สึกว่าถูกรบกวน กลยุทธ์ก็คือการโฆษณาอย่างตรงเป้าหมาย เมื่อผู้ใช้บริการหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ โดยที่หน้าแรกของเว็บไซต์จะไม่มีโฆษณาเลย การโฆษณาจะปรากฏขึ้นทางด้านบนของจอ เหนือข้อมูลที่ผู้ใช้บริการต้องการค้นหา ลักษณะของโฆษณาจะไม่มีรายละเอียดมาก และมีลักษณะเหมือนๆ กันหมด ในช่วงแรกบริษัทจะขายพื้นที่โฆษณาเองให้กับองค์กรใหญ่ๆ
ภายหลัง บริษัทเปลี่ยนวิธีการขายโฆษณา โดยให้ลูกค้าลงทะเบียนเอง และโฆษณาจะปรากฏขึ้นทันทีหลังลงทะเบียนเสร็จ ซึ่งทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนลงได้มาก ส่วนลำดับโฆษณาบนหน้าจอ ก็เป็นไปตามค่าโฆษณาที่บริษัทได้รับ และตามความนิยมที่ผู้ใช้บริการเข้าไปดูโฆษณา โฆษณาที่ได้รับความนิยมมาก จะอยู่อันดับต้นๆ ทั้งสองอธิบายว่า การจัดอันดับตามนี้จะตรงประเด็นมากที่สุด นั่นหมายความว่า ยิ่งมีคนเข้าไปดูโฆษณามากเท่าใด แสดงว่าโฆษณานั้น ตรงประเด็นมากเท่านั้น นอกจากนั้นพวกเขายังสามารถทำรายได้จากโปรแกรมใหม่ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมีผู้ลงทะเบียนและเพิ่ม Google Search Box ลงในหน้าเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งจะทำให้มีผู้เข้าไปใช้กูเกิลได้มากขึ้น ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนและนำ Google Box เข้าไปในเว็บไซต์จะได้รับเงินคืน 3 เซนต์ หากมีคนเข้าไปใช้กูเกิลผ่านทางเว็บนั้นๆ ธุรกิจของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยาฮูบริษัทที่ทำธุรกิจแบบเดียวกันทำสัญญาใช้บริการ การค้นหาข้อมูลของบริษัท ส่งผลให้กูเกิลกลายเป็นบริษัทผู้ให้บริการค้นหาข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก และในปี 2544 กูเกิลมีผู้ใช้บริการมากถึงวันละ 100 ล้านครั้ง หรือ 1,000 ครั้งต่อวินาที
นอกจากความสามารถในการบริการค้นหาข้อมูลแล้ว บริษัทยังมีนวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย เช่น จับผิดคำที่สะกดผิด ค้นหาชื่อคนพร้อมเบอร์โทรศัพท์ ค้นหาภาพ ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้บริษัทเติบโตรวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก เพจมักแซวคู่หูของเขาว่า การที่บริษัทต้องทำเงินให้ได้มากๆ เป็นเพราะบรินต้องการสร้างความประทับใจให้กับสาวๆ การเป็นประธานของบริษัท ที่ไม่ทำเงินมันไม่เท่ และไม่สามารถดึงดูดสาวๆ ได้ เมื่อสิ้นปี 2544 บริษัทสามารถทำกำไรเป็นครั้งแรกถึง 7 ล้านดอลลาร์
ไม่เพียงนวัตกรรมจะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ การบริหารของอีริค ชมิท CEO ก็มีส่วนสำคัญด้วย แท้ที่จริงแล้ว ชมิทซึ่งเป็นอดีต CEO ของบริษัท Novell มิได้ปรารถนาจะมาร่วมงานกับกูเกิล แต่เขาถูกโดเออร์ ผู้ที่ลงทุนให้กับกูเกิล บีบบังคับให้ไปคุยกับเพจและบริน ครั้งแรกทั้งสองก็ไม่ต้องการพบชมิทเช่นกัน แต่เนื่องจากทั้งสองรับปากนักลงทุนว่า พวกเขาจะหาผู้บริหารที่มีประสบการณ์ มาบริหารบริษัทให้ได้ พวกเขาจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงคำขอแกมบังคับของโดเออร์ได้ หลังจากที่ทั้งสองปฏิเสธผู้มาสมัครเป็น CEO ให้กับบริษัทคนแล้วคนเล่า ในที่สุดทั้งสองก็ยอมรับชมิท ทั้งนี้อาจเป็นเพราะชมิทจบระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยพรินซตัน และจบปริญญาเอก สาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่เบิร์กเลย์ ก็เป็นได้ แต่ก่อนที่ทั้งสองจะยินยอมให้ชมิทดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัท และเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจที่จะบริหารบริษัทอย่างเต็มที่ ทั้งสองจึงบีบบังคับให้ชมิทต้องลงทุนด้วยเงินทุนของตัวเองในบริษัทด้วย ชมิทเห็นว่าหากเขาต้องบริหารกูเกิล เขาก็ควรได้หุ้นของบริษัทนี้ ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินมหาศาลได้ในอนาคตเช่นกัน ชมิทจึงตัดสินใจซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์ของกูเกิล ด้วยเงินตนเอง 1 ล้านดอลลาร์ในช่วงที่บริษัทกำลังขาดเงินสดพอดี
หลังจากที่ชมิทเข้า มาบริหาร บริษัทก็พบกลยุทธ์ใหม่ในการโฆษณา นั่นคือการคิดค่าบริการ เฉพาะเมื่อผู้ใช้บริการค้นหาข้อมูลเข้าไปดูโฆษณาเท่านั้น วิธีการนี้ให้ความเป็นธรรมกับคู่ค้าของบริษัทมากขึ้น จึงทำให้กูเกิลมีลูกค้ามากขึ้น นอกจากนั้นบริษัทยังสามารถคิดวิธีการขายพื้นที่โฆษณาบนเว็บของกูเกิลใหม่ นั่นคือให้ผู้ที่ต้องการซื้อพื้นที่ประมูลกัน ผู้ซื้อพื้นที่จะประเมินเองว่า การโฆษณาสามารถเปลี่ยนเป็นรายได้มากน้อยเท่าใดจึงคุ้มกับค่าใช้จ่าย กลยุทธ์การขายพื้นที่โฆษณาทั้งสองแบบนี้ทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรเพิ่ม ขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตอนปลายเดือนเมษายน ปี 2547 เพจและบรินจำเป็นต้องนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น ทั้งๆ ที่พวกเขายัง 1)ต้องการควบคุมบริษัท 2)ไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลทางด้านการเงินและแผนงานให้กับสาธารณชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่แข่ง 3)กลัวที่จะสูญเสียความเป็นส่วนตัวและกลัวผลกระทบต่อคนรอบข้าง โดยเฉพาะพ่อและแม่ ที่ยังคงทำงานที่มหาวิทยาลัยเช่นเดิม 4)บริษัทไม่มีหนี้ และมีเงินสดมากมาย แต่ทั้งสองก็ไม่สามารถเลี่ยงกฎหมายได้ เพราะทรัพย์สินและจำนวนผู้ถือหุ้นของบริษัทเกินเกณฑ์มาตรฐานที่จะอนุญาตให้บริษัทเป็นองค์กรเอกชนมานานแล้ว นอกจากนั้นบริษัทยังให้หุ้นกับพนักงานเพื่อเป็นเครื่องจูงใจในการทำงานเป็นจำนวนมาก ทั้งสองจึงจำเป็นต้องหาทางให้พนักงานสามารถเปลี่ยนหุ้นเป็นเงินได้
สำหรับ ผู้ประกอบการในซิลิคอนวัลเลย์แล้ว การเสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นฝันของทุกคน แต่ทั้งสอง กลับหวงแหนความเป็นส่วนตัว และชอบอิสระ ยิ่งกว่านั้น การที่ทั้งสองหวังให้บริษัทเป็นสถาบันที่ทำให้โลกดีขึ้น อีกทั้งยังตั้งใจบริจาคกำไร 1% เพื่อสร้างมูลนิธิ พวกเขาจึงรั้งรอที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากเกรงว่านักลงทุน จะบีบบังคับให้ทั้งสองทำในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ เมื่อทั้งสองไม่มีทางเลือก พวกเขาจึงเลือกที่จะเสนอขายหุ้นตามวิถีทางของตนเอง
โดยทั่วไปนั้นวาณิชธนกิจที่ทำหน้าที่ในการเสนอขาย หุ้นครั้งแรก (IPO) มักตั้งบริษัทนายหน้าเพื่อเสนอขายหุ้นและอยากให้ราคาหุ้นต่ำกว่าความเป็น จริง เพื่อให้หุ้นที่ถูกนำเสนอครั้งแรกนี้ขายได้ง่าย และราคาหุ้นสูงขึ้นในวันแรกที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ด้วย ในขณะที่บริษัทก็อยากขายหุ้นในราคามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อให้พวกเขาได้เงินมากที่สุดจากการขายหุ้นครั้งแรกนี้ แต่กูเกิลกลับกำหนดแนวทางการขายหุ้นด้วยวิธีที่แปลกออกไป จนได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ นั่นคือ
1)ตั้งช่วงราคาของ หุ้นไว้และเสนอขายทางอินเทอร์เน็ต ผู้ที่ต้องการซื้อและเสนอราคาในช่วงที่บริษัทตั้งไว้มากที่สุด ผู้นั้นจะได้หุ้นไป เพจและบรินคิดว่าการทำเช่นนี้จะไม่มีความลำเอียงใดๆ เกิดขึ้น และเป็นธรรมกับประชาชนทั่วไป เพราะผู้เสนอซื้อรายย่อยก็มีโอกาสจะได้หุ้นเช่นกัน 2)วาณิชธนกิจที่จะทำหน้าที่ขายหุ้น ซึ่งก็คือ Credit Suisse, First Boston และ Morgan Stanley จะต้องยอมรับผลประโยชน์น้อยกว่าปกติครึ่งหนึ่ง เพราะการขายหุ้นทางอินเทอร์เน็ตเสมือนหนึ่งบริษัทขายหุ้นเองอยู่แล้ว 3)บริษัทขอสงวนสิทธิในการถอนตัวจนถึงวินาทีสุดท้าย
4)เพจและบริน ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ให้กับผู้สนใจเสนอซื้อหุ้นซึ่งยังไม่เคยมีบริษัทใด ทำมาก่อน เพราะพวกเขาต้องการแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีบุคลิกภาพและแตกต่างจากบริษัท อื่นๆ อย่างสิ้นเชิง 5)พวกเขายังเสนอหุ้นสองชั้น ชั้น A สามารถออกเสียงได้หนึ่งเสียงต่อหุ้น และชั้น B สำหรับผู้ก่อตั้ง สามารถออกเสียงได้ 10 เสียงต่อหุ้น เพื่อปิดโอกาสที่นักลงทุนจะบีบบังคับให้พวกเขาทำเพื่อกำไรเพียงอย่างเดียว โดยไม่คิดถึงผลดีในระยะยาว และป้องกันการถูกยึดครองโดยที่ทั้งสองไม่ยอมรับ เพราะพวกเขาคิดว่าพวกเขาจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อโลก เพจและบรินเห็นว่าการทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะสื่อใหญ่ๆ ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์กไทม์ วอชิงตันโพสต์ ต่างมีหุ้นในลักษณะเช่นนี้ทั้งนั้น
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่า กูเกิลทำกำไรจากอะไรกันแน่ แต่เมื่อรายงานทางการเงินของบริษัทก่อนเสนอขายหุ้นครั้งแรก เปิดเผยว่า ครึ่งปีแรกของปี 2546 บริษัทสามารถขายได้ 560 ล้านดอลลาร์ โดยมีกำไร 58 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 พันล้านดอลลาร์ โดยมีกำไร 143 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาเดียวกันในปีต่อมา นักลงทุนจึงตั้งตาคอยการเสนอขายหุ้นครั้งแรกของบริษัท
อย่างไรก็ดี ก่อนที่กูเกิลจะเสนอขายหุ้นครั้งแรกในตลาดหลักทรัพย์ไม่กี่วัน บริษัทกลับต้องเผชิญกับปัญหาหลายอย่างที่ประดังเข้ามาพร้อมๆ กัน 1)Geico บริษัทประกันภัยประกาศฟ้องกูเกิลจากการที่กูเกิลหาประโยชน์จากเครื่องหมาย การค้าของ Geico 2)นักวิเคราะห์ทางการเงินวิจารณ์ว่ากูเกิลปั่นราคาหุ้น โดยการอนุญาตให้ผู้อื่นนำเครื่องหมายการค้าของพวกเขาไปติดไว้ในเว็บอื่นได้
3)ยาฮูและไมโครซอฟท์ประกาศว่าพวกเขาสามารถให้บริการการค้นหาข้อมูล ได้ดีเท่ากับกูเกิลแล้ว ซึ่งน่าที่จะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทในอนาคต 4)รายงานทางการเงินทำให้นักลงทุนทราบว่ารายได้ส่วนใหญ่ของกูเกิลมาจาก America Online และ Ask Jeeves หากสองบริษัทนี้ยกเลิกสัญญา รายได้ของกูเกิลจะลดลงมาก
5)ตลาดหลักทรัพย์พบว่ากูเกิลได้ให้หุ้น กับพนักงานเป็นจำนวนมาก และมิได้เสนอรายงานทางการเงิน ให้กับผู้ถือหุ้นทราบ 6)นิตยสารเพลย์บอยลงบทสัมภาษณ์ของเพจและบรินในช่วงที่พวกเขาไม่ให้สัมภาษณ์ ในช่วงเสนอขายหุ้น 7)เมอร์ริล ลินช์เห็นว่าการเสนอขายหุ้นของกูเกิลยุ่งยากและให้ผลตอบแทนน้อย พวกเขาจึงยกเลิกสัญญาการเป็นนายหน้า
ผลของภัยคุกคามเหล่านี้ทำให้ การเสนอขายหุ้นในช่วงราคาระหว่าง 110-135 ดอลลาร์ ที่เพจและบรินกำหนดกลายเป็นราคาที่สูงเกินไป นายหน้าจึงแนะนำให้ทั้งสองเลื่อนการเสนอขายหุ้น แต่ทั้งสองเห็นว่าการเสนอขายหุ้นทำให้ชีวิตของพวกเขายุ่งยากมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้พวกเขาไม่สามารถทำงานที่ตนเองรักได้ตามปกติ จึงอยากทำให้เสร็จๆ ไป ในที่สุดโดเออร์ และมอริทซ์นักลงทุนรายใหญ่ของบริษัท จึงประกาศลดช่วงราคาหุ้นลงเหลือเพียง 85-95 ดอลลาร์ เพื่อจูงใจให้นักลงทุนสนใจ ในวันที่หุ้นเข้าสู่ตลาดครั้งแรก ปรากฏว่าอุปสงค์มีมากกว่าอุปทาน ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 15 ดอลลาร์ การเสนอขายหุ้นครั้งแรกนี้ทำให้บริษัทได้เงิน 1.67 พันล้านดอลลาร์ และกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงถึง 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าบริษัทเก่าแก่อื่นๆ ในตลาดหลักทรัพย์เสียอีก
แม้ว่าใน วันเดียวกันนั้น เพจและชมิทจะอยู่ที่ตลาดหุ้นในนิวยอร์ก แต่บรินกลับไปปรากฏตัวที่บริษัท เขาและพนักงานต่างเฉลิมฉลองกันด้วยไอศกรีมเบนแอนด์เจอร์รี่ จากการเตรียมของอายเออร์ ชาร์ลี หัวหน้าพ่อครัวประจำบริษัท ชาร์ลีเข้ารับตำแหน่งเป็นพนักงานคนที่ 56 ของบริษัท หลังจากที่เพจและบรินได้สัมภาษณ์พ่อครัวมาแล้วถึง 25 คน ในตอนแรกที่ชาร์ลีเข้ามาทำงานนั้น บริษัทยังเล็กและมีพนักงานจำนวนไม่มาก แต่เนื่องจากเพจ และบรินมีนโยบายที่จะให้พนักงานมีอาหารกินฟรี พวกเขาจึงจำเป็นต้องจ้างพ่อครัว ทั้งสองสัญญากับชาร์ลีว่าเขาจะมีห้องครัวที่ดีที่สุดที่เงินหาซื้อได้อย่าง แน่นอน และทั้งสองก็ทำได้ตามสัญญา ชาร์ลีมีหน้าที่จัดหาอาหาร ของว่าง ขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่มที่มีคุณภาพและดีต่อสุขภาพให้กับพนักงานทุกคน ทั้งนี้เพราะทั้งสองเกรงว่า พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ รวมทั้งการต้องออกไปหาอาหารกินเอง ในเวลาเที่ยงของพนักงาน จะทำให้ผลิตภาพและความสร้างสรรค์ของพวกเขาลดลง ชาร์ลีไม่ทำให้ผู้ก่อตั้งทั้งสองผิดหวัง เขามีความสามารถในการจัดเตรียมอาหารและสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้พนักงานรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขจนไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการ ทำงาน
เพจและบรินก็มักรับประทานอาหารร่วมกับพนักงานเป็นประจำ จึงทำให้บรรยากาศในการรับประทานอาหารเที่ยงของบริษัท เหมือนกับการรับประทานอาหารของคนในครอบครัว นอกจากนั้นชาร์ลียังมักจ้างวงดนตรีมาเล่นในวันศุกร์ตอนเที่ยง ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้บริหารทั้งสองจะคุยกับพนักงานถึงอนาคตและตอบคำถามต่างๆ รวมทั้งแนะนำพนักงานใหม่ที่พวกเขาเรียกว่า noogler ด้วย
ความสามา รถของชาร์ลีทำให้ผลสำรวจความพึงพอใจในการทำงานของพนักงานกว่า 90% มาจากผลงานของเขา พนักงานมักชมเขาเป็นประจำว่าเขาเป็นคนที่ทำไก่ทอดอร่อยที่สุดในโลก และอาหารตามร้านที่พวกเขาต้องรับประทานในวันหยุดไม่มีที่ไหนสู้ของชาร์ลีได้ ชาร์ลีมักตอบพนักงานเสมอว่าอาหารของเขาไม่เหมือนตามร้าน เพราะมันทำขึ้นจากความรัก ผู้บริหารทั้งสองทราบดีว่าชาร์ลีมีความสำคัญต่อองค์กรและวัฒนธรรมขององค์กร เพียงใด พวกเขาจึงขึ้นเงินเดือนให้ชาร์ลี และให้สิทธิซื้อหุ้นในราคาพิเศษ หลังจากบริษัทเข้าตลาดหุ้นไม่กี่เดือน ชาร์ลีรู้สึกว่าบริษัทเริ่มใหญ่เกินไป วัฒนธรรมองค์กรก็เปลี่ยนไป รวมทั้งหุ้นที่เขามีอยู่ก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เขาจึงตัดสินใจขายหุ้นและลาออกเพื่อไปเติมเต็มฝันของตัวเองด้วยการเปิดร้าน อาหาร ไม่เพียงแต่ชาร์ลีเท่านั้นที่ลาออกจากบริษัท พนักงานหญิงเก่าๆ ที่เข้าทำงานตั้งแต่ยังอายุน้อยก็เริ่มทยอยลาออก เพราะพวกเธอต้องการมีลูกและมีเงินมากขึ้นจากการขายหุ้นด้วยเช่นกัน
นอก จากพนักงานของบริษัทจะได้รับการดูแลอย่างดีในเรื่องอาหารการกินแล้ว บริษัทยังมีสวัสดิการอื่นๆ เช่น บริการซักรีด ทำผม ทำฟัน ล้างรถ บริการสุขภาพ บริการเลี้ยงลูก อบรมพิเศษต่างๆ จึงทำให้พนักงานไม่จำเป็นต้องออกจากที่ทำงาน ไปขอรับบริการเหล่านี้ นอกจากนั้นพวกเขายังมีโอกาสที่จะเล่นวอลเลย์บอลชายหาด ฮอกกี้ แข่งเรือ ฟุตบอล สิ่งเหล่านี้ถูกจัดสรรขึ้น เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างสนุกสนานและสนับสนุนให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ แม้แต่ในรถรับส่งทางบริษัทก็จัดให้มี Wi-Fi เพื่อให้สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลาด้วย
เพจ บริน และชมิท จะแบ่งงานกันทำตามความถนัดและบุคลิกภาพ เนื่องจากบรินเป็นคนฉลาดหลักแหลมและมีอารมณ์ขัน มีความสามารถในการจูงใจและเจรจาต่อรองจึงดำรงตำแหน่งประธานบริษัทและประธาน ทางด้านเทคโนโลยี เขามีหน้าที่ 1)ดูแลโครงการและผลประโยชน์ระยะยาว 2)ติดต่อกับคนภายนอกในเรื่องสัญญา 3)ดูแลด้านวัฒนธรรมองค์กร กระตุ้น ให้กำลังใจ รวมทั้งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้กับพนักงาน เช่น จัดที่สำหรับให้นมบุตรและให้อาหารฟรีกลับบ้านสำหรับพนักงานที่เพิ่งคลอดบุตร สร้างบรรยากาศในที่ทำงานให้เป็นกันเองและอบอุ่นเพื่อให้พนักงานรู้สึกมีความ สุขและสนุกกับงาน ส่วนเพจซึ่งมีบุคลิกภาพเคร่งขรึมกว่าจึงดำรงตำแหน่งประธานบริหาร และเป็นประธานทางด้านผลิตภัณฑ์ เขามีหน้าที่ 1)ดูแลรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ 2)ดูแลงานด้านวิศวกรรมเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต 3)หาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า 4)เรียงลำดับโครงการที่จะพัฒนาในระยะสั้น 5)รับพนักงานใหม่ และ 6)บริหารงานในรายละเอียดประจำวัน สำหรับชมิทซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ มีหน้าที่ดูแลงานทางด้านการปฏิบัติการ การจัดการ การเงินและบัญชี ทั้ง 3 คนจะประชุมร่วมกันสัปดาห์ละครั้งเพื่อพิจารณาโครงการและตัดสินใจในเรื่อง ต่างๆ
ไม่เพียงเพจและบรินฝันที่จะสร้างระบบการค้นหาข้อมูลที่ให้ บริการคนทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น ทั้งสองยังฝันที่จะนำหนังสือทั้งโลกมาไว้ในอินเทอร์เน็ต ทั้งสองจึงไปติดต่อห้องสมุดของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ฮาร์วาร์ด มิชิแกน และออกซ์ฟอร์ด ทั้งนี้เพราะห้องสมุด 2 แห่งแรกมีความคิดที่จะนำเนื้อหาของหนังสือที่พวกเขาครอบครองมาไว้ในอินเทอร์ เน็ตอยู่แล้ว ส่วนห้องสมุด 2 แห่งหลังเป็นห้องสมุดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ พวกเขามีหนังสือรวมกันหลายสิบล้านเล่ม อุปสรรคที่สำคัญในการนำข้อมูลจากหนังสือมาไว้บนอินเทอร์เน็ตก็คือ
1) ทำอย่างไรการถ่ายโอนข้อมูลจะไม่ทำให้หนังสือเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือ เก่า 2)ปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์การที่คนทั่วไปสามารถอ่านหนังสือได้ทางอินเทอร์เน็ต จะทำให้สำนักพิมพ์และผู้เขียนขาดรายได้ กูเกิลจึงจำเป็นต้องหาหนทางที่จะแบ่งสรรผลประโยชน์เพื่อให้สำนักพิมพ์และผู้ เขียนยินยอมให้ข้อมูลในหนังสือปรากฏบนอินเทอร์เน็ต วิธีการที่พวกเขาคาดว่าจะเลือกใช้คือ การนำเนื้อหาเพียงบางส่วนมาไว้ในอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถเชื่อมต่อไปซื้อหนังสือกับสำนักพิมพ์ได้ในกรณีที่ เป็นหนังสือที่ยังมีลิขสิทธิ์อยู่ ทั้งสองคาดว่าโลกอาจต้องรอถึงทศวรรษกว่าพวกเขาจะสามารถถ่ายโอนเนื้อหาใน หนังสือหลายล้านเล่มลงในอินเทอร์เน็ตได้ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ระยะทางไม่เป็นอุปสรรคขวางกั้นสำหรับองค์ความรู้อีกต่อไป โครงการนี้นับเป็นโครงการใหญ่ซึ่งให้ผลประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติมหาศาล อย่างไรก็ดีหัวหน้าบรรณารักษ์ของห้องสมุดในฝรั่งเศสกลับเห็นว่าโครงการนี้จะ ทำให้ประชาชนทั่วโลกถูกครอบงำโดยสหรัฐ เขาไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั่งเศสถูกบอกเล่าโดยหนังสือที่ ชาวอเมริกันเป็นผู้เลือก
ในปัจจุบันคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของกู เกิล ก็คือไมโครซอฟท์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะคิดว่ากูเกิลกับไมโครซอฟท์แข่งขันกันที่โปรแกรม แต่แท้ที่จริงแล้วทั้งสองแข่งกันในเรื่องการรับคนใหม่และการรักษาคนเก่า มากกว่า เมื่อคนส่วนใหญ่เริ่มตระหนักว่ากูเกิลเป็นบริษัทที่มีอนาคตมากกว่า นักศึกษาจบใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาที่เก่งๆ จึงแห่กันมาสมัครงาน แม้ว่าไมโครซอฟท์จะให้เงินเดือนสูงกว่าก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ ซ้ำร้ายไมโครซอฟท์ยังต้องสูญเสียพนักงานระดับสูงให้กับกูเกิลด้วย เมื่อพวกเขาประกาศขยายกิจการไปที่ประเทศจีน ดร.ไคฟู ลี ซึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยคาร์เนกิ-เมลลอน เริ่มทำงานกับไมโครซอฟท์ที่ประเทศจีนในปี 2541 หลังจากนั้นเขาก็ย้ายมาอยู่ในสำนักงานใหญ่ที่สหรัฐในปี 2543 โดยมีรายได้ถึงกว่าล้านดอลลาร์ต่อปี แต่เมื่อลีได้ยินข่าวว่ากูเกิลจะขยายสาขาเข้าไปในประเทศจีน เขาจึงไปสมัครงานด้วย เนื่องจากเขาเป็นผู้กว้างขวางในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เขาจึงสามารถดึงดูดให้พนักงานทั้งใหม่และเก่าที่มีความสามารถสูงในจีนให้มา ทำงานกับกูเกิลได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังสามารถช่วยต่อรองกับรัฐบาลจีนได้ด้วย ถึงกระนั้นก็ตามกูเกิลยังคงจำเป็นต้องทำตามกฎหมายจีนที่จะให้ข้อมูลทั้งหมด รวมทั้งจดหมายถูกตรวจสอบเช่นเดียวกับที่ไมโครซอฟท์และยาฮูทำอยู่ดี ไม่เช่นนั้นทางการจีนจะไม่อนุญาตให้พวกเขาดำเนินธุรกิจในประเทศจีน
แม้ ว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จทางด้านนวัตกรรมมากมาย แต่พวกเขายังคงต้องประสบปัญหากับภัยคุกคามบ้างเป็นบางครั้ง ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยๆ และคุกคามโอกาสในการสร้างรายได้จากโฆษณาก็คือ click fraud อันเป็นการแกล้งกดผิดซึ่งมักเกิดจากคู่แข่งของบริษัทที่ลงโฆษณาโดยหวังให้ ต้นทุนของผู้ลงโฆษณาเพิ่มขึ้น หรือเกิดจากบริษัทที่ร่วมงานกับกูเกิลและได้รับส่วนแบ่งรายได้จากการที่มีคน กดปุ่มหวังจะโกงกูเกิล ในปัจจุบันแม้ว่ากูเกิลจะสามารถเขียนโปรแกรมเพื่อป้องกันการโกงนี้ได้บ้าง แล้ว แต่ลูกค้าที่ลงโฆษณาส่วนใหญ่กลับรู้สึกว่ากูเกิลตอบสนองต่อปัญหานี้ไม่ดี เท่ายาฮู ทั้งนี้อาจเป็นเพราะกูเกิลไม่มีแรงดลใจที่จะให้ความร่วมมือกับลูกค้าในการหา ตัวคนผิด แม้ว่าพวกเขาจะมีข้อมูลอยู่ก็ตาม แต่กลับให้ความสำคัญกับการหาหุ้นส่วนเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดมากกว่า
หลัง จากที่กูเกิลเข้าตลาดหุ้น บริษัทยังคงสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาอีกเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มขึ้นเป็น 135 ดอลลาร์ หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเพียง 2 เดือน และเพิ่มขึ้นเป็น 200 ดอลลาร์ในปีรุ่งขึ้น แม้ว่าบริษัทจะประกาศว่าพนักงานและผู้บริหารจะขายหุ้นบางส่วน ซึ่งโดยทั่วไปจะทำให้ราคาหุ้นในตลาดลดลงจากการที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น แต่ราคาหุ้นของกูเกิลกลับมิได้ลดลงมากนัก และในการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งแรกหลังบริษัทเข้าตลาดหุ้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม บริษัทก็ประกาศว่าพวกเขามีรายได้ถึง 1.3 พันล้านดอลลาร์ และกำไรที่เพิ่มขึ้นถึง 600% เป็น 369.2 ล้านดอลลาร์ หลังจากนั้นอีกเพียงเดือนเดียว ราคาหุ้นก็พุ่งขึ้นไปถึง 300 ดอลลาร์ ส่งผลให้บริษัทมีมูลค่าถึง 8 หมื่นล้านดอลลาร์ และในฤดูร้อนปี 2549 มูลค่าหุ้นของบริษัทก็เพิ่มขึ้นเป็น 1.2 แสนล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับ 40 เท่าของมูลค่าหุ้นของ Wall Street Journal, 30 เท่าของนิวยอร์ก ไทม์ส และ 15 เท่าของวอชิงตันโพสต์
ข้อคิดเห็น ท่ามกลางความโลภอย่างไม่สิ้นสุดของมนุษย์ชาติ ซึ่งสร้างปัญหาต่างๆ มากมายให้โลก เพจและบรินผู้ก่อตั้งกูเกิล อันเป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของเครื่องมือในการค้นหาข้อมูลที่ทรงพลังที่สุดใน ประวัติศาสตร์ แสดงให้โลกเห็นแล้วว่าผลของความพยายามที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์กับมวลมนุษยชาติ แทนที่จะหาทางทำเงินให้ได้มากที่สุด สามารถทำให้โลกก้าวหน้าและน่าอยู่ขึ้น อีกทั้งยังสามารถทำให้บริษัทประสบความสำเร็จทั้งทางด้านชื่อเสียง และเงินทองได้ด้วยเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.pantip.com/tech/developer/topic/DW2779423/DW2779423.html
กิตติโชติ says:
29/01/2553 at 29/01/2553
ชอบมากคราฟ
เด็กเรียน says:
03/01/2556 at 03/01/2556
เจ็งโครด