บทความเรื่องนี้ตั้งใจเขียนอุทิศให้แก่ บาส น้องในทีมทรูไอดีได้อ่าน (ไอ้บาสมันยังไม่ตาย)

ก่อนอื่นเราต้องยอมรับก่อนว่า ตำราภาษาอังกฤษนั้น มีเยอะมาก เยอะขนาดที่ผมว่าอ่านกันทั้งชีวิตไม่หมด เฉพาะในหมวดการเขียนโปรแกรมที่เราสนใจนี่ก็ มีหลากหลายแง่มุม มีตั้งแต่ระดับเบื้องต้น ยันไปเฉพาะเจาะจงลงลึกเป็นเรื่องๆ นี่ยังไม่นับบล็อกต่างๆที่มันเขียนกันออกมาเป็นดอกเห็ด ความรู้ทั้งนั้น

อีหรั่งมันชอบเขียน และมันชอบอ่าน

หันมาดูพี่ไทยบ้าง เหี้ยแล้วไง มีแต่เรื่องพื้นฐานอยู่ 4-5 ปก แต่จะโทษสำนักพิมพ์หรือจะโทษคนไทยทั้งประเทศก็ไม่ถูกหรอก เพราะหากทำออกมาแล้วขายได้แค่ไม่พอค่าลูกกิน MK หนึ่งมื้อ ผมเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ผมก็ไม่ทำเหมือนกัน

อีกข้อที่จะต้องยอมรับก็คือว่า ถ้าคุณอ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ ไม่ออก คุณก็ติดแหง่ก ผมจึงมีข้อคิด ทำอย่างไรจึงเก่งภาษาอังกฤษ มาให้อ่าน

1. เพราะมึงไม่มีทางเลือก

หากอยากจะเก่งภาษาอังกฤษ มันไม่มีช้อยส์อื่น มันมีเพียงช้อยส์เดียวเท่านั้นคือ เก่งภาษาอังกฤษ ช้อยส์เดียว ถามว่าเลือกตัวเลือกอื่นได้มั้ย ไม่ได้ เพราะอยากเก่ง จึงมีแค่ช้อยส์เดียว คือ เก่ง คำตอบมันเหมือนจะกวนตีนนะ แต่ว่าลองคิดทบทวนดูให้ดีเถอะ มันจริงอย่างที่ผมว่ามั้ย มันจริง ในเมื่อมันมีทางเลือกเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น ก็เดินไปข้างหน้าสิ รออะไร ลุยมันเข้าไป ไอ้คนที่มันอ่านได้มันก็ทำอย่างนี้แหละ เริ่มจากไม่รู้เรื่องแล้วรู้เรื่องขึ้นเรื่อยๆ

ข้อดีของการเรียนภาษาอังกฤษก็คือว่า เมื่อคุณรู้มันมากขึ้น สิ่งที่ต้องเรียนรู้มันจะน้อยลงเรื่อยๆ โดยธรรมชาติของภาษาแล้วมันเปลี่ยนแปลงช้า คำที่เกิดขึ้นใหม่ก็ช้า คำที่ถูกกัดกร่อนจนตายไปก็ช้า สบายเราวิ่งทัน

2. ไม่จำเป็นต้องโทษอาจารย์วันดี

ผมเคยมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ตอนนั้นผมแค่อ่านภาษาอังกฤษออกนิดๆ นิดจริงๆ  เราเสวนากันเรื่องภาษาอังกฤษนี่แหละ แล้วเขาก็เล่าให้ฟังว่า ตอนที่เขาเรียน ป.3 หรือ ป.4 นี่แหละ (รุ่นผมเขาเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอน ป.5) ทะเลาะกับอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ทำให้เกลียดภาษาอังกฤษ แล้วตั้งแต่นั้นมารู้สึกเป็นปัญหาตลอด ผมก็เลยถามว่า แล้วตอนนี้ยังทะเลาะกับอาจารย์ภาษาอังกฤษอยู่หรือเปล่า เขาก็บอกว่าหลังจบประถมก็ไม่เคยเจอกันแล้ว ไม่ทะเลาะแล้ว ผมก็บอกว่า นั่นสิ คุณไม่ทะเลาะกับอาจารย์สอนภาษาอังกฤษแล้ว ก็ไม่เห็นว่าคุณจะอ่านภาษาอังกฤษ

บางทีการโทษคนอื่น ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่เชื่อมั้ยว่าชีวิตไม่ได้ดีขึ้น

เพราะฉะนั้นไม่ต้องโทษอดีต ไม่ต้องโทษลมฟ้าฝน ไม่ต้องโทษว่าพ่อไม่ได้เป็นฝรั่ง ไม่ต้องโทษว่าแม่ดูแต่หนังเกาหลีแทนที่จะดูซีรี่ฝรั่ง ไม่ต้องโทษอะไรครับ  แค่เมื่อรู้สึกตัวว่าต้องฝึก ก็ลงมือฝึกเลย แค่นั้น ไม่ต้องมากด้วย แค่วันละหน่อยแต่ให้ต่อเนื่อง

3. เราเปรียบเสมือนช้างตัวลงสู่สงคราม

มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง ครั้งหนึ่งสมัยพระพุทธเจ้า มีมเหสีของราชาคนหนึ่งชื่อ นางมาคันธิยา นางมาคันธิยานี่แกมีความแค้นส่วนตัวต่อพระพุทธเจ้า คือแค้นมาก แค้นขนาดไม่ยอมอยู่ร่วมโลกเดียวกันทีเดียว วันหนึ่งพระพุทธเจ้าจาริกผ่านไปทางเมืองที่นางมาคันธิยาเป็นสนมอยู่ ก็ตามปกติที่พระพุทธเจ้าจะออกบิณฑบาตรตอนเช้าทุกๆเช้า โดยมีพระอานนท์ตามหลังไปด้วย

ทีนี้นางมาคันธิยาแกเห็นพระพุทธเจ้าเข้า ความแค้นที่มีอยู่เต็มอกนั้นก็ปะทุขึ้นมา แกไปจ้างพวกนักด่ามืออาชีพ (มีอาชีพด่าด้วยนะ) ให้มาเดินตามด่าพระพุทธเจ้า พวกนั้นก็มาด่า พระพุทธเจ้าเดินไปทางไหน พวกนี้ก็เดินตามด่ากันเป็นพรวน ด่าแรงด้วยนะ ไม่ใช่ด่าน้อยๆ

วันสองวันผ่านไป พระอานนท์ทนสงสารพระพุทธเจ้าไม่ไหว จนทูลขอให้พระพุทธเจ้าเดินทางจาริกไปเมืองอื่น ต้องเข้าใจนะว่าพระอานนท์นี่รักและเทิดทูลพระพุทธเจ้ามาก ในฐานะของญาตินั่นส่วนหนึ่ง ในฐานะผู้เหนือบังคับบัญชานั้นอีกส่วนหนึ่ง อีกทั้งพระพุทธเจ้าเองก็เอื้อเฟื้อต่อพระอานนท์ไม่น้อย หลังพระอานนท์ทูลขอ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า

“อานนท์ เราเปรียบเสมือนช้างตัวลงสู่สงคราม ต้องทนต่อหอกและลูกศรที่มาจากทิศต่างๆ”

สิ่งที่ผมอยากจะบอกต่อคนที่อยากฝึกภาษาอังกฤษคือตรงนี้  ให้ทำใจไว้เลยว่า คุณคือช้างตัวที่ยืนอยู่ท่ามกลางสงคราม ไม่ว่าเจ็บแค่ไหนคุณก็ต้องทน  คนอื่นเล่นเกมส์ คุณต้องฝึกภาษาอังกฤษ คนอื่นออกไปเที่ยวกันวันหยุด คุณต้องอยู่ห้องฝึก คนอื่นออกไปเมา คุณต้องฝึก คนอื่นทำเรื่องฆ่าเวลาทิ้งไปมากมาย แต่คุณต้องทนเหงา ทนต่ออารมณ์ของตัวเองที่บอกว่าไม่เห็นคืบหน้าเลย ทนต่ออีกหลายอย่างแยะแยะ

เฮอะ…คุณมีทางเลือกมั้ยล่ะ ย้อนกลับไปอ่านข้อ 1

4. เริ่มก่อนได้เปรียบ

การเรียนอะไรบางอย่างเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจนั้น ต้องอาศัยเวลา ไม่ใช่แป้บๆ อุ๊ย…เป็นแล้ว บ้าเหรอ มันไม่ง่ายขนาดนั้น ต้องอาศัยเวลากันเป็นปีๆ ถึงห้าปีสิบปี ทำใจไว้เลย  ที่ผ่านมาเราอาจจะมัวแต่โทษนู่นนี่นั่นจนไม่ลงมือฝึกสักที ถึงตอนนี้คุณรู้ตัวแล้ว ก็ฝึกซะ มันไม่สายหรอก ไม่มีอะไรสาย  หากเริ่มวันนี้ วันที่จะถึงความสำเร็จก็มองเห็นแล้ว หากเริ่มวันพรุ่งนี้ วันที่สำเร็จก็ขยับออกไปอีกหนึ่งวัน ยิ่งหากไปเริ่มเอาเดือนหน้า ความสำเร็จมันก็เลื่อนตามออกไปด้วย

เริ่มเหอะ หัดเอาจากอ่านหนังสือเด็กก็ได้ มีภาพเยอะๆตัวหนังสือน้อยๆ  แรกๆมันอาจจะอึดอัดหน่อย เพราะรู้สึกว่าไม่มีอะไรคืบหน้า แต่เชื่อเถอะว่า วันหนึ่งข้างหน้า ท่านมองกลับมาที่วันนี้ วันที่เริ่ม แล้วท่านจะไม่เสียใจในตัวเอง

 

ป.ล.๑

บุญที่เกิดจากการอ่านตำราภาษาอังกฤษแล้วมาถ่ายทอดให้คนอื่นได้ความรู้นั้น ขออุทิศให้ท่าน ประจักษ์ คุณุ คนที่บอกให้ผมอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ (อ่านๆไปเหอะ อ่านไม่ออก ก็อ่านไป เดี๋ยวก็อ่านออก แกบอกผมว่าอย่างนั้น และผมเชื่อ) และคนที่ทำตัวให้ผมมีแรงศรัทธาพอที่จะเชื่อคำพูด

ขออุทิศ

ป.ล.๒ ท่านประจักษ์ยังไม่ตาย