เป้าหมาย
ทุกคนที่เรียนมาทางสายโปรแกรมมิ่ง พวกคอมไซด์ ผมเชื่อแน่ว่าจะต้องผ่านการทำโปรเจ็ก ทุกคน คนที่เรียนจบไปแล้วก็เคยผ่าน คนที่กำลังเรียนก็จะต้องผ่าน แน่นอน จะเป็นกลุ่มหรือเป็นเดี่ยวอันนั้นก็ว่าไป โปรเจ็กจริงๆแล้ว มันคืองานจริงที่ให้เราลองฝึกทำ ทั้งการฝึกเก็บรีไควเม้นท์ ฝึกพูดคุยกับผู้คน ฝึกคิด ฝึกลงมือทำ เรียกได้ว่าเป้าหมายของโปรเจ็ก คือ ให้เราได้ฝึก มันคงมีบ้างบางอารมณ์ที่บางคนคิดเอาว่า เฮ้ย … ค่อยไปฝึกเอาตอนทำงานก็ได้ ไม่เห็นเป็นไร อย่าลืมว่า ไม่มีบริษัทไหนกล้าจ้างคุณให้คุณเข้าไปฝึก เพราะบริษัทเองก็มีความเสี่ยง เงินก็ต้องเสีย ทรัพยากรในการทำงานก็เสีย (ต้องให้รุ่นพี่ฝึกให้) แล้วรุ่นพี่ๆบางทีก็ไม่มีเวลาจะฝึกให้หรอก ถ้าคุณไม่ช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่ต้น จะไม่มีใครอยากจะช่วยเหลือคุณ อันนั้นเป็นความจริงอันโหดร้าย โหดร้ายแต่ธรรมชาติของชีวิตมันก็เป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจเป้าหมายของโปรเจ็กแล้ว ทำมันครับ ฝึกๆๆ ทุกอย่างคือการฝึก ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น การผ่านหรือไม่ผ่านมันก็เป็นเกณฑ์บอกว่า เราฝึกมาพอหรือยัง หรือต้องฝึกเพิ่ม หากยังไม่ผ่านก็แก้ไขเพิ่ม ไม่จำเป็นต้องตีโพยตีพายอะไร คุณลาออกจากคณะนี้ไปเข้าคณะอื่น คุณก็ต้องฝึก เมื่อทุกที่ต้องฝึกหมด ทำไมคุณไม่ฝึกเพื่อเป็นคนที่มีศักยภาพมากกว่าคนอื่น อยู่ในหน้าที่ที่หาเงินเดือนได้มากว่าหน้าที่อื่น อยู่ในหน้าที่ที่ไม่มีใครจะสามารถมาแทนคุณได้ จะลาออกทีบริษัทต่อรองเงินเดือนกันวุ่น
เป้าหมายมันก็แค่การฝึก จำไว้
มันคือใบผ่านงาน
หลังจากเรียนจบไปแล้ว เราก็ต้องเริ่มร่อนใบสมัครงาน แนบรูปถ่ายแนบประวัติ เขียนชื่อ บนโลกนี้ไม่มีใครรู้จักหรอกครับว่าคุณคือลูกผู้ใหญ่ขำ แต่ต่อให้เป็นลูกผู้ใหญ่ขำ แล้วไง ไม่มีใครสนหรอก เขาสนเพียงแค่ว่า มึงทำอะไรได้บ้าง ไหนเอามาแสดงซิ นี่ความสำคัญของโปรเจ็กจบมันเริ่มมาตรงนี้ ถ้าคุณทำโปรเจ็กที่น่าสนใจ อะ…ต่อให้ไม่น่าสนใจ แต่คุณทำมันขึ้นมาด้วยตัวเอง และเขียนมันด้วยภาษาที่บริษัทเขาเล็งๆอยู่ เขาก็ยินดีให้คุณได้โชว์ คนที่จบมาใหม่ๆแล้วพกโปรเจ็กของตัวเองไปแสดงให้เค้าดูด้วย มักไม่ตกงาน ก็คุณทำได้ มันไม่มีเหตุผลอะไรที่บริษัทจะไม่เอา รอเทพมาจุติเหรอ งานบริษัทก็เร่ง โครงงานก็กำลังจะปล่อย อยากได้คนแทบใจจะขาด
แต่ก็อย่างว่า ถ้าโปรเจ็กไปจ้างเขามา ให้เพื่อนเขียนให้ ก้อปปี้เขา เวลาโดนถามมันก็พูดได้ไม่เต็มปาก หลบตา ให้ลองทำโจทย์ง่ายๆโดยไม่ให้เปิดหนังสือ ก็ทำไม่ได้ จบละครับ ถ้าผมเป็นคนสัมภาษณ์เอง ผมก็ไม่รู้จะเอาคุณมาทำอะไร เราไม่ใช่บริษัทผลิตปุ๋ย ถึงจะได้รับคุณมาเพื่อใช้ใส่โคนต้นยาง
จำไว้ โปรเจ็กมันคือใบเบิกทางชั้นเลิศให้คุณ ทำมันให้เจ๋งที่สุด และพกมันไปด้วยเวลาไปสมัครงาน
คิดไว้แต่เนิ่นๆ
แน่นอนว่าเมื่อคุณสมัครเรียนสายโปรแกรมมิ่ง คุณต้องรู้มาบ้างแหละว่าตอนจบมันจะต้องเขียนโปรเจ็กส่งอาจารย์ เมื่อเรารู้แล้วเราจะช้าอยู่ทำไมล่ะ คิดมันไว้เสียตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าจะทำอะไร อย่างเช่น สมมติว่าตอนนี้รุ่นพี่ที่เขียน C# เงินเดือนแพงสัดๆ ก็ตัดสินใจไปเลยว่าจะทำโปรเจ็กที่เขียนด้วย C# (ยังไม่รู้ว่า C# เขียนยังไงยังไม่ต้องสน ) หรือเกมส์ในแอนดรอยกำลังมาแรง เอาบ้าง ก็ตกลงใจไปเลยว่าจะทำเกมส์บนแอนดรอย จากนั้นจึงค่อยมาคิดต่อว่าจะทำเกมส์หรือโปรเจ็กเกี่ยวกับอะไร มองไปรอบๆตัวที่เราอยู่ครับ มองไปในห้องน้ำ ห้องนอน ห้องครัว มองไปที่รถ มันจะต้องมีสักอย่างแหละที่สามารถเอามาทำโปรเจ็กได้ ไม่แน่คุณอาจจะได้โปรแกรมเจ๋งๆ ที่สามารถขายได้ด้วย ดูอย่างอีตาคนหนึ่ง แกเดินทางไปประเทศไหนแล้วไม่แน่ใจ แกยืนรอรถแท็กซี่อยู่นานมา แท็กซี่ก็ไม่มา หลังจากประชุมเสร็จ แกเขียนโปรแกรมเรียกรถแท็กซี่แม่มเลย กลายมาเป็นโปรแกรม Uber
พอเรามีข้อตกลง มันจะมีความกังวลเยอะแยะมากมายเกิดขึ้น จะเริ่มจากตรงไหน จะทำยังไง อะไรที่เป็นความกังวลจดไว้ในสมุดครับ แล้วปรึกษารุ่นพี่หรือปรึกษาอาจารย์ ปรึกษาได้แม้กระทั่งแม่หรือพ่อที่แกไม่เคยเขียนโปรแกรม ก็ปรึกษาได้ เดี๋ยวเขาให้แนวทางเองแหละ แล้วก็ลองเริ่มฝึก
เริ่มฝึก
เมื่อเราได้สิ่งที่คิดว่าอยากจะได้แล้ว ก็ต้องลองคิดต่อว่า มันจะต้องเป็นอะไรบ้างถึงจะทำให้โปรเจ็กมันผ่านลุล่วงไปจนเสร็จ ไม่ต้องเครียดนะครับ คิดไม่ออกก็นอน คิดไม่ออกก็ถามรุ่นพี่ พ่อ แม่ “แม่ หนูจะทำโปรเจ็กบริหารจัดการเล้าไก่ แต่ไปไม่ถูกไม่รู้จะเริ่มจากยังไงดี” เดี๋ยวก็ได้คำปรึกษาดีๆครับ เมื่อรู้แล้วว่าต้องใช้อะไรบ้าง ก็เริ่มฝึก ถ้าจะเขียนโปรแกรมบนแอนดรอยด์ ก็เริ่มซื้อหนังสือ หัดตามหนังสือ ยังไม่รู้เรื่องไม่ต้องกังวลหรอก เดี๋ยวมันก็เป็นเอง ผ่านไปสักปีสองปี ถ้าจะเขียน PHP ก็ซื้อหนังสือ PHP มาแล้วเริ่มฝึก ผมแนะนำอย่างยิ่งว่า อย่าขี้เหนียวค่าหนังสือ ให้ซื้อครับ อย่าอ่านเอาจากในเน็ต เพราะข้อมูลในเน็ตมันไม่ได้เป็นขั้นเป็นตอน คุณต้องใช้พลังมากกว่าปกติ หนังสือดีที่สุด ไม่แพงเลย สองร้อยกว่าบาท กินโออิชิมือเดียว แพงกว่าเสียอีก
ลิสต์ออกมาให้หมดลงในหนังสือ ว่าอะไรที่เกี่ยวข้อง ฝึกมันซะ ค่อยๆฝึก ไม่ต้องรีบ เพราะเรายังพอมีเวลาอยู่ แต่ต้องเริ่มฝึกครับ ใครที่เริ่มไปฝึกเอาตอนปี 4 ผมเห็นนอนตายเกลี่อนคาโปรเจ็ก
คุณยิ่งฝึกมาคุณจะยิ่งเก่งมาก คนเราไม่ได้วัดกันที่สมอง เขาวัดกันที่ฝึกมากฝึกน้อย คนแขนขาดสองข้าง เอาตีนวาดรูปทุกวัน มันยังวาดสวยกว่าไอ้คนสองมือดีแต่วาดสัปดาห์ละครั้งเลย
อย่ารอวันตาย
สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นเสียจนชินตา ก็คือ ยังไม่ต้องรีบ อาจารย์ยังไม่สอน ทำไม่ได้หรอก ความคิดจะสัมพันธ์กับการกระทำ การกระทำบ่อยๆมันจะเป็นนิสัย จากนิสัยมันจะเป็นสันดาน เนี่ย รอๆๆๆ จนไปถึงเทอมที่จะต้องทำโปรเจ็กแล้ว โปรเจ็กก็ยังไม่เคยคิด โปรแกรมก็ยังเขียนไม่เป็น แน่นอน นรกรออยู่ข้างหน้า
อย่าไปรอครับ ฝึกก่อนได้ก่อน โปรเจ็กอาจจะส่งอาจารย์เพื่อให้จบไป แต่นิสัยจะติดตัวเราไปตลอดการ การฝึกทำโปรเจ็กก็เหมือนการฝึกนิสัยไปกลายๆ
จงกล้าลงทุน
คนเราบนโลกนี้ คุณต้องเอาสิ่งหนึ่งเพื่อไปแลกสิ่งหนึ่งเสมอ ถ้าคุณอยากชอยากเสียเงินน้อย คุณก็ต้องเสียเวลาในการศึกษามาก ถ้าคุณยอมเสียเงินมาก คุณก็จะเสียเวลาน้อย เนี่ยทุกอย่างบนโลกนี้คือการลงทุนทั้งสิ้น หากคุณอยากได้อะไรบางอย่างมา คุณต้องเสียอะไรบางอย่างไป กฎตามธรรมชาติ จงกล้าลงทุนครับ ไม่ว่าจะลงทุนเวลา ลงทุนเงินไปเรียนคอร์สต่างๆ ลงทุนซื้อหนังสือ ลงทุนเลี้ยงเหล้ารุ่นพี่เพื่อให้สนิท ให้รุ่นพี่สอนสิ่งที่อยากรู้ให้ฟรี ลงทุนเดินทาง
สิ่งที่ลงทุนง่ายที่สุดแล้วคือ ลงทุนเงิน เราหามันมาทดแทนได้ง่ายจากทางอื่น หาเงินจากความรู้ที่มี เพื่อไปจ่ายให้กับสิ่งที่ยังไม่รู้เพื่อให้รู้
ถ้ากล้าลงทุนอย่างนี้นะ คุณจะไปเร็วกว่าคนอื่นมาก ดีไม่ดีสุดท้ายแล้ว คุณสามารถเอาความรู้ที่ได้มา ไปหาเงินที่เสียไปกลับมาได้มากกว่า
ขอความสว่างไสวทางความคิด จงเกิดแก่ท่านครับ
Leave a Reply