ตั้งแต่ต้นปีปี 2559 นี้ ในทุกๆเช้าผมจะต้องไปวิ่งที่สวนจตุจักร หรือไม่ก็สวนรถไฟ เป้าหมายน่ะเหรอ ไม่มีอะไรมาก ตอนคิดแค่คิดว่าไม่อยากนั่งอยู่ในรถติด เลยตื่นแต่เช้าหน่อยไปนั่งเล่นที่สวน ไปๆมาๆก็เริ่มวิ่ง จนวิ่งทุกเช้าวันละไม่ต่ำกว่า 5 กิโลเป็นเรื่องปกติ

ตอนหลังมีพี่เด็ดเข้ามาร่วมออกกำลังด้วย

ตอนที่เราวิ่งวนๆ ในสวนจตุจักร มักจะวิ่งสวนกับน้า น่าจะเรียกว่าน้าแหละดูๆแล้วอายุน้อยกว่าพ่อผมเยอะ วิ่งสวนกับน้าแกบ่อยๆ แกจะเดินเองไม่ได้ ต้องใช้เหล็กค้ำเป็นตัวช่วยพยุงเดิน

ผมก็คุยเล่นๆกับพี่เด็ดว่า เนี่ยเห็นมั้ย เราอย่ารอให้สภาพเป็นอย่างนี้ก่อนจึงค่อยออกกำลังกาย

พี่เด็ดก็บอกว่า รู้ได้ไง เผื่อที่แกเป็นอย่างนั้นอาจจะเพราะออกกำลังกายก็ได้

เออ… มันก็ไม่แน่

แกอาจจะวิ่งวันละหลายๆโลเหมือนอย่างที่เราวิ่ง แล้ววันหนึ่งแกก็อาจจะหกล้มหัวฟาดพื้น แล้วก็เป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ห่าเอ๊ย

ผมก็สงสัยอยู่ในใจนะว่า แกเดินไม่ได้เพราะสาเหตุอะไร

แล้ววันนี้โอกาสก็มา

ผมเห็นแกนั่งอยู่ที่เนินปูนที่เขาไว้สำหรับซิตอัพ ผมก็เลยแกล้งไปซิตอัพ เป้าหมายน่ะเพราะอยากรู้ว่าแกเดินไม่ได้เพราะอะไร

ผมนั่งลงทำท่าจะซิตอัพ แล้วก็หันไปถามน้าแกว่า

ผม: ขาเดินไม่ได้เป็นอะไรครับ
น้า: ผมเป็นเส้นเลือดในสมองตีบครับ

เสียงแกพูดช้าๆ ทำให้ผมพลอยใจไม่ดีไปด้วย

น้า: ผมเป็นอย่างนี้มา 12 ปีแล้ว ตอนนั้นผมไม่เคยคิดที่จะออกกำลังกายหรอก เดินสั่งงานลูกน้องอยู่ดีๆแล้วผมก็วูบไปเลย เป็นลม พอไปตรวจที่โรงบาล หมอบอกว่าเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ เป็นมา 12 แล้ว ก็พยายามจะมาสวนตอนเช้าๆ มาเดิน อยู่บ้านผมก็ได้แต่นั่งหน้าจอทีวี ไปไหนไม่ได้
ผม: แล้วหมอบอกมีโอกาสที่จะหายมั้ยครับ
น้า: ไม่หายครับ มันทรุดลงเรื่อยๆ ทำได้แค่ประคับประคอง
ผม: แล้วยังกินข้าวได้ตามปกติมั้ยครับ
น้า: ยังกินได้ครับ

แล้วผมก็ขอตัวกลับ

สิ่งที่เกิดในใจผมคือ หากเราเสียสละเวลาวันละสัก 1 ชั่วโมงตอนนี้ เราอาจจะไม่ต้องทนใช้ชีวิตอย่างน้าแกถึง 12 ปี

ครับ เรารู้ว่าการออกกำลังกายมันดีแหละ แต่มันเจ็บปวดตรงที่เราเองไม่ยอมลงมือทำ

ผมคิดถึงคำพูดของพระพุทธเจ้าอยู่คำพูดหนึ่ง

“อย่าทำตัวเอง ให้เป็นศัตรูของตัวเอง”