โดยปกติของการเรียนเพื่อออกมาเป็นโปรแกรมเมอร์ หรือ เรียนสายคอมพิวเตอร์นั้น มักจะมาตายกันอีตอนทำโปรเจ็ก นอนตายห่ากันตรงนั้นเกลื่อนกลาด จนรุ่นน้องบางคนที่เป็นเฟรชชี่สดๆ มองศพรุ่นพี่กองเท่าภูเขาแล้วพาลขาอ่อน  มันก็จริงครับที่โดยส่วนใหญ่จะมาตายกันที่ตรงนั้น แต่ถ้าหากผ่านมันไปได้ จนออกมาเป็นโปรแกรมเมอร์ รายได้ที่ได้รับ ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่เหนือกว่าสายที่เรียนง่ายๆ โขอยู่

ทีนี้เราจะทำอย่างไรไม่ให้เป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตตอนทำโปรเจ็ก

ตั้งใจเรียนและฝึก

“ชีวิตวัยรุ่นมีได้ครั้งเดียว มันต้องใช้ ” อันนี้ก็ถูก แต่มันก็ต้องพยายามรักษาระดับที่กลางๆเอาไว้ เพราะว่าเราไม่ได้มีแต่ชีวิตวัยรุ่นเท่านั้น แต่เรายังมีชีวิตวัยทำงาน และชีวิตวัยลุง ชีวิตวัยตาวัยยาย ที่จะต้องรับผิดชอบด้วย เพราะฉะนั้น  วันที่ไม่เมาและไม่ได้เที่ยวก็ตั้งใจเรียน และพยายามฝึกหัดการเขียนโปรแกรม

วิธีการฝึกก็ง่ายๆ กางหนังสือแล้วก็เขียนไปตามหนังสือทีละบท ลองทำตามหนังสือได้ผลแล้ว ปิดหนังสือแล้วลองเขียนด้วยตัวเองดูว่าสามารถจำได้ไหม  ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนเป็นการจำมากกว่าการเข้าใจ แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อถึงวันหนึ่ง สมองมันจะบรรลุด้วยตัวมันเอง เราจะปิ๊งขึ้นมาแล้ว อ๋อ การเขียนโปรแกรมมันเป็นอย่างนี้เองเหรอ

สนใจจะทำงานด้านไหน เราก็ฝึกด้านนั้นเป็นพิเศษ อย่าไปกลัวว่ามันจะยาก ผลตอบแทนของความยากมันคุ้มค่า เชื่อเถอะ

ยอมลงทุน

บางทีการเรียนเสริมก็เป็นทางออกทางออกหนึ่ง สำหรับชำระล้างความโง่เง่าเต่าตุ่นของเรา เดี๋ยวนี้คอร์สออนไลน์เอย คอร์สออฟไลน์เอย หนังสือเอย เยอะแยะไปหมด ขอเพียงเราตั้งใจเท่านั้นเราจะเข้าใจมันได้ไม่ยากเลย

ทีนี้ถ้าหากใครบอกว่า ก็หนูไม่ได้มีพ่อแม่ร่ำรวยอะไร จะให้ไปลงทุนติวอะไรได้  ทางสว่างก็คือ มึงจนมึงก็ทำงานสิวะ ไปหาเงินมาแล้วเอาเงินนั้นไปลงทุนเรียน ไม่ใช่จะรอให้พ่อรวยสถานเดียว อย่างนั้นตายกันพอดี

การลงทุนดีเสมอครับ มันจะได้คืนกลับมาหมด หลังจากที่เราเรียนจบไปแล้วและหางานที่เงินเดือนสูงๆได้

ตีซี้รุ่นพี่

รุ่นพี่ เขาเป็นรุ่นที่ผ่านอะไรๆมาบ้างแล้ว ซึ่งพอจะให้คำแนะนำเราได้ไม่มากก็น้อย  พยายามมองหารุ่นพี่ที่เข้าตากรรมการ แล้วเข้าไปคลุกวงในซะ เขาชอบจับกลุ่มตรงไหนเราก็ไปตรงนั้น เขานั่งเล่นเกมส์อย่างไม่สนใจ เราก็ไปยกมือไหว้ขอความรู้เค้า พยายามฝึกให้เข้าหาคนให้เป็น เพราะจริงๆแล้วการเข้าไปตีซี้นั้นไม่ใช่ได้แค่เพียงความรู้ แต่มันจะเป็นประสบการณ์ในการทำงานหลังจากที่เรียนจบไปแล้วทีเดียว

ในวันทำงาน เราต้องเจอเพื่อน เจอพี่ เจอน้อง ซึ่งคนเหล่านี้เราต้องอาศัยทักษะการเข้าหาหรือการตีซี้เสมอ แม้แต่ว่า ถ้าหากเราทำงานต้องรับผิดชอบโปรเจ็ก เราก็ต้องตีซี้กับลูกค้า กับคนมากมาย

ประโยชน์มันเยอะ

เลียอาจารย์

ตอนที่เราทำโปรเจ็ก คนที่จะให้ผ่านหรือไม่ให้ผ่าน ก็คืออาจารย์  หากเราเจออาจารย์ที่ใจดีก็ดีไป แต่หากเราเจออาจารย์โหดๆเราก็ไม่ต้องตกใจไป

เลียครับคือคำตอบ

ลองนึกถึงอย่างนี้นะครับว่า  ระหว่างคนที่เราสนิทกับคนที่เราไม่สนิท เรามักจะเข้าข้างใครมากกว่ากัน  แน่นอน คำตอบคือคนที่เราสนิทเรามักจะเข้าข้างมากกว่า ทำผิดมากก็กลายเป็นน้อย หรือทำผิด บางทีเราก็เกรงใจ จะพูดจะจาก็ไม่ใช้ความรุนแรง

อาจารย์ก็เป็นคน เมื่ออาจารย์เป็นคน ฟิลลิ่งแกก็คล้ายๆเรานี่แหละ เพราะฉะนั้น ตอนไปส่งโปรเจ็กก็ควรหาอะไรติดไม้ติดมือไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นขนมหรือของฝาก โกหกไปเลยว่าแม่ฝากมาให้ (ถ้าอาจารย์ไม่รับ) หรือลองๆมองดูว่าอาจารย์ท่านนั้นๆ น่าจะชอบอะไร ก็พยายามหาติดมือเข้าไป เล็กๆน้อยๆ ไม่ต้องเยอะ นั้นจะทำให้เราสนิทกับอาจารย์ แล้วจะได้คำแนะนำดีๆจากอาจารย์

อีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าเราทำโปรเจ็กที่จะส่งในสัปดาห์ไม่ทัน อย่าใช้วิธีหลบหน้า ให้เข้าไปหาอาจารย์แล้วคุยกับอาจารย์อย่างตรงไปตรงมา  เมาทำงานไม่ทันก็บอกไปเลยว่า ผมขอโทษอาจารย์ด้วยครับ สัปดาห์นี้ผมทำตัวเหลวไหลทำให้ทำงานส่งอาจารย์ไม่ทัน ผมสัญญาว่าสัปดาห์หน้าผมจะทำมาส่งอาจารย์ทั้งของสัปดาห์นี้แหละสัปดาห์หน้า  ผมขอโทษอาจารย์จริงๆ ผมผิดเอง

ผมเชื่อว่าไม่มีอาจารย์คนไหนใจไม้ใส้ระกำ จนไม่สามารถให้อภัยศิษย์  แต่ก็นั่นแหละครับ  คำสัญญามันมีค่าของมัน รักษามันได้ค่ามันก็เท่าเดิม รักษามันไม่ได้มันก็จะไม่มีค่าให้น่าเชื่อถือ

ลองเอาไปปรับใช้ดูครับ มีประโยชน์ชัวร์